ธุรกิจสิ่งพิมพ์ในยุคโควิด-19: โลกของการอ่านที่ไม่จำกัดอยู่บนหน้ากระดาษ เทรนด์หนังสือเสียงเริ่มแพร่หลายไปทั่วโลก

 

ธุรกิจสิ่งพิมพ์ในยุคโควิด-19:
โลกของการอ่านที่ไม่จำกัดอยู่บนหน้ากระดาษ เทรนด์หนังสือเสียงเริ่มแพร่หลายไปทั่วโลก

7 กันยายน 2021
บทความเชิงวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจ

ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้เทรนด์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ (Digitalization) ในด้านการอ่านและสิ่งพิมพ์ทั่วโลกปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น เทรนด์การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้รูปแบบการจัดพิมพ์มีความหลากหลายยิ่งขึ้น นอกจาก
สิ่งพิมพ์รูปแบบดั้งเดิมที่เน้นตัวหนังสือเป็นหลัก (หนังสือ, การ์ตูน/มังงะ, นิตยสาร) รูปภาพและเสียงเริ่มกลายเป็นรูปแบบการถ่ายทอดเนื้อหาที่มีความสำคัญ ทั้งยังเป็นการต่อยอดและพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
สินค้าพรีเมียม (merchandise), การพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ รวมถึงการดัดแปลง IP ของเนื้อหาสู่สื่อรูปแบบอื่น
ไต้หวันสามารถศึกษาเทรนด์ของนานาชาติ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล (Digital Transformation)

ผลกระทบจากโรคระบาดทำให้เทรนด์การขายหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ยอดขายหนังสือประเภทหนังสือเด็กและหนังสือไลฟ์สไตล์อย่างตำราอาหาร
ในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นด้วย

การผสานรวมโลกเสมือนและโลกจริง ออนไลน์และออฟไลน์ ในเทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

จากข้อมูลประมาณการของนิตยสารธุรกิจในเยอรมนี “M+A” ในปี 2020 ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้นิทรรศการ
เชิงพาณิชย์เกือบ 3,000 งานทั่วโลกจำต้องยกเลิกหรือถูกเลื่อนออกไป ในเดือนตุลาคมปี 2020 เทศกาลหนังสือ
แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt Book Fair, FBM) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปีได้จัดงานในรูปแบบนิทรรศการดิจิทัลออนไลน์ นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลและการดัดแปลงเนื้อหาที่มีความหลากหลายสู่สื่อ
รูปแบบอื่น เทศกาลหนังสือ แฟรงก์เฟิร์ตยังได้ผลักดัน “โครงการ The Arts+” อย่างต่อเนื่อง โครงการดังกล่าวเป็นการ
หารือร่วมกันของบุคลากรด้าน สิ่งพิมพ์จากทั่วโลก ในเรื่องกลยุทธ์การต่อยอดทรัพยากรหนึ่งอย่างให้เกิดประโยชน์
หลากหลาย (One Source Multi Use, OSMU) และกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจสิ่งพิมพ์

จากข้อมูลสถิติของผู้จัดงานเทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ต ในปี 2020 เทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตมีผู้เข้าร่วมจาก 103 ประเทศ/เขตพื้นที่ ผู้ร่วมจัดแสดงเกือบ 4,500 รายใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการเจรจาธุรกิจและจัดกิจกรรม
ด้านการขาย หากพิจารณาจากตัวเลขผู้เข้าร่วมงานจริง เทียบกับปี 2019 ที่มีผู้ร่วมจัดแสดงจาก 150 ประเทศรวม 7,400 ราย จะเห็นว่า ผู้ร่วมจัดแสดงในปี 2020 ลดจำนวนลงเกือบครึ่ง แต่รูปแบบการจัดงานออนไลน์ก็เปิดโอกาสให้เทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่ถูกจำกัดด้วยระยะทางหรือเขตพื้นที่ หากพิจารณาโดยมองจากประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้อ่านนานาชาติ เฉพาะเว็บไซต์ “buchmesse.de” ซึ่งเป็นเว็บทางการของเทศกาลหนังสือ
แฟรงเฟิร์ตปี 2020 เพียงอย่างเดียว ก็ดึงดูดผู้ใช้จากนานาประเทศได้กว่า 200,000 ราย นอกจากนี้กิจกรรม “BOOKFEST digital” บนเฟซบุ๊คยังดึงดูดผู้ชมราว 1.5 ล้านคนจาก 124 ประเทศทั่วโลกให้เข้าชมโปรแกรมต่าง ๆ ในกิจกรรมดังกล่าวด้วย จะเห็นได้ว่าเทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตที่เปลี่ยนรูปแบบสู่การจัดงานแบบดิจิทัลก็เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์
พอสมควรทีเดียว ทั้งยังเป็นการขยายขอบเขตให้เทศกาลดังกล่าวเป็นที่รู้จักในพื้นที่และประเทศต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นด้วย

จากสถิติของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือเยอรมนี (German Publishers & Booksellers Association) ช่วงที่เกิดโรคระบาด 21% ของประชากรในเยอรมนีอ่านหนังสือบ่อยขึ้น  17% ของชาวเยอรมันเพิ่งทราบเป็นครั้งแรกว่า
พวกเขาสามารถซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์และสั่งจองผ่านโทรศัพท์ได้ ทั้งยังมีประชากรอีกราวหนึ่งล้านคนที่ทำการซื้อหนังสือผ่านช่องทางข้างต้นเป็นครั้งแรกในช่วงโรคระบาด แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อม เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ประชาชนเริ่มหันไปซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกัน ผลสำรวจของสมาคมสื่อใหม่และโทรคมนาคมแห่งเยอรมนี (Bitkom) ในปี 2019 เกี่ยวกับประสบการณ์การอ่านของผู้อ่านชาวเยอรมนีพบว่า 30% ของกลุ่มตัวอย่างได้อ่านอีบุ๊ค (E-book) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับตัวเลข 24% ในปี 2018 จะเห็นว่าเพิ่มสูงขึ้น 6% เทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของอีบุ๊คในฐานะไฮไลต์หลักรายการหนึ่งของเทศกาลหนังสือมาตั้งแต่สิบปีก่อน ถึงแม้ปัจจุบันอีบุ๊คในตลาดสิ่งพิมพ์ของเยอรมนีจะมีส่วนแบ่งในตลาดไม่ถึงร้อยละ 10 แต่เทรนด์อีบุ๊คยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นประเด็นที่บุคลากรในวงการสิ่งพิมพ์ทั่วโลกยังควรให้ความสำคัญและควรติดตามงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

ผู้อ่านในอังกฤษซื้อหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในปี 2020 จะทำให้ร้านค้าแบบมีหน้าร้านหรือร้านออฟไลน์ (Physical Store) รวมถึงร้านหนังสือ ต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวตามนโยบายควบคุมโรคระบาด แต่จากตัวเลขประมาณการของนีลเส็นบุ๊คสแกน (Nielsen BookScan) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำรวจข้อมูลการขายหนังสือของอังกฤษ ในปี 2020 ประชากรอังกฤษยังคงซื้อหนังสือจำนวนมาก หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ตลาดหนังสือในปี 2019 ปริมาณการขายหนังสือแบบรูปเล่มของอังกฤษในปี 2020 เติบโตขึ้น 5.2% (จำนวนรวม 202 ล้านเล่ม) ยอดขายรวมสูงถึง 1,760 ล้านปอนด์ (ราว 80,200 ล้านบาทไทย) เทียบกับปี 2019 เติบโตขึ้น 5.5% แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ประชาชนต้องรักษาระยะห่างทางสังคมและใช้เวลาอยู่บ้านเพิ่มขึ้น ความต้องการในการอ่านของพวกเขายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร้านหนังสือแบบออฟไลน์ต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวก็สามารถใช้ช่องทางออนไลน์ รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ ในการซื้อหนังสือได้

ข้อมูลการจัดอันดับจากแอมะซอน ประเทศอังกฤษ (Amazon UK) ระบุว่า เมื่ออังกฤษดำเนินนโยบายล็อกดาวน์ ทำให้ประชาชนรวมทั้งครอบครัว (เด็ก) มีเวลาอยู่ด้วยกันเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยอดขายหนังสือประเภทหนังสือเด็กเพิ่มสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อประชาชนในอังกฤษใช้เวลาอยู่บ้านเพิ่มมากขึ้น หนังสือประเภทตำราอาหารก็ได้รับความนิยมตามไปด้วย อีกด้านหนึ่ง สำหรับหนังสือประเภทนิยาย วรรณกรรม รวมถึงบันเทิงคดีต่าง ๆ เนื่องจากประชาชนชาวอังกฤษมีเวลาว่างเพิ่มมากขึ้นในปี 2020 (ล็อกดาวน์ทำให้ได้ทำงานที่บ้าน หรือได้หยุดงาน) จึงทำให้หนังสือประเภทนิยาย ชีวประวัติ และ บันเทิงคดีต่าง ๆ ทำยอดขายได้ดีทีเดียว โดยหนังสือเรื่อง “A Promised Land” และ “Where the Crawdads Sing” ติดอันดับหนังสือขายดีทั้งในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

เทรนด์หนังสือเสียงเริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มผู้อ่านชาวอเมริกัน

สำหรับตลาดหนังสืออเมริกาในปี 2020 บริษัทแสตกเกอร์ (Stacker) ได้เรียบเรียงข้อมูลจากการจัดอันดับหนังสือขายดีประจำปี 2020 ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส (New York Times) และพบว่า หนังสือประเภทสารคดี (Non-fiction) เช่น บันทึกความทรงจำของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีผู้ได้รับคะแนนนิยมล้นหลามจากประชาชน รวมถึงหนังสือของนักการเมืองท่านอื่น เช่น บันทึกความทรงจำของกมลา แฮร์ริส ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีและประธานวุฒิสภาสหรัฐฯ และเคยดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย ล้วนติดอันดับหนังสือขายดี อีกด้านหนึ่ง หนังสืออัตชีวประวัติของนักร้องอเมริกันผู้มีชื่อเสียงอย่างดอลลี พาร์ตัน (Dolly Parton) และอดีตพิธีกรชื่อดังผู้ล่วงลับ
อเล็กซ์ เทรเบค (Alex Trebek) รวมถึงศิลปินท่านอื่น ก็ทำยอดขายได้ดีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้หนังสือประเภทตำราอาหารได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอเมริกันอย่างมาก

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ รายงานประจำปี 2020 ของสมาคมผู้จัดพิมพ์หนังสือเสียง (Audio Publishers Association, APA) ในสหรัฐอเมริการะบุว่า ในปี 2019 ตลาดหนังสือเสียงในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ราว 40,800 ล้านบาทไทย) เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 16% ทั้งยังปรากฏการเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปีแล้ว นอกจากนี้ ข้อมูลแวดวงอุตสาหกรรมในสมุดปกขาว (White paper) ของเทศกาลหนังสือแฟรงก์เฟิร์ต ระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้น ในปี 2020 ตลาดหนังสือเสียงในอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51,000 ล้านบาทไทย) ทั้งในอนาคตยังมีแนวโน้มเติบโตในระดับ 20-25% เลยทีเดียว รายงานประจำปี 2020 ของสมาคม APA ยังระบุด้วยว่า ผู้บริโภคเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปและหันไปใช้หนังสือเสียงมากขึ้น ในกลุ่มผู้ใช้หนังสือเสียงช่วงอายุ 18 ปีขึ้นไปในอเมริกา ปริมาณการซื้อหนังสือเสียงเฉลี่ยต่อปีเพิ่มจาก 6.8 เล่ม/คนในปี 2019 เป็น 8.1 เล่ม แม้ว่าเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมเนื้อหาอื่น ๆ ตลาดหนังสือเสียงยังนับว่าค่อนข้างเล็ก แต่ด้วยความเร็วในการเติบโตของตลาด ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าหนังสือเสียงมีศักยภาพการเติบโตอยู่มาก และจะกลายเป็นการอ่านอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมจาก ผู้อ่านทั่วโลกในอนาคต

แอนิเมชันยอดนิยมขับเคลื่อนยอดขายธุรกิจสิ่งพิมพ์ในญี่ปุ่น

ผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องปรับวิถีชีวิตตามนโยบายป้องกันโรคระบาด จำนวนคนที่ทำงานจากบ้าน
เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจนอกบ้านลดลง ทำให้ความต้องการอ่านสิ่งพิมพ์ที่ให้ความบันเทิงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของนวนิยายและมังงะที่ได้รับการดัดแปลงสู่สื่ออื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งในจำนวนนี้ ยอดขายของ
มังงะยอดนิยมอย่าง “ดาบพิฆาตอสูร” (Demon Slayer/Kimetsu no Yaiba) มีความโดดเด่นมากที่สุด มังงะชุด
“ดาบพิฆาตอสูร” นี้มีทั้งหมด 23 เล่มจบ ยอดขายปี 2020 รวม 120 ล้านเล่ม (รวมฉบับอีบุ๊ค) ซึ่งเล่มที่ 23 ของชุด เริ่มวางขายในวันที่ 4 ธันวาคม 2020 ด้วยยอดพิมพ์ครั้งที่หนึ่งที่มีจำนวนสูงถึง 3.95 ล้านเล่ม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่า
ตื่นตะลึงของมังงะเรื่องนี้

จากข้อมูลของผู้จัดจำหน่ายหนังสือสองรายใหญ่ในญี่ปุ่น: นิปปัน (NIPPAN) และโทฮัน (TOHAN) รายงานยอดขายประจำปีซึ่งประกาศ ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2020 ระบุว่า ภาพยนตร์แอนิเมชัน “ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์” (Kimetsu no Yaiba: Kyōdai no Kizuna) ซึ่งเริ่มฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2020 ยอดขายตั๋วสามวันแรกพุ่งทะลุ 4,600 ล้านเยน (ราว 1,380 ล้านบาทไทย) ทำสถิติเหนือ “มิติวิญญาณมหัศจรรย์” (Spirited Away) และกลายเป็นภาพยนตร์ที่มียอดขายตั๋วสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น นิยายชุดที่เกี่ยวข้องจึงได้เกาะกระแสความนิยมจน
ขึ้นครอง 3 อันดับใน TOP 5 หนังสือขายดีที่สุดของญี่ปุ่นประจำปี 2020 ยอดขายรวมสูงถึง 2.95 ล้านเล่ม

ธุรกิจสิ่งพิมพ์ของจีนเปลี่ยนทิศทางสู่การพัฒนาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น

โรคระบาดที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อยอดขายหนังสือทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ของร้านหนังสือ จากข้อมูลบนแพลตฟอร์มบิ๊กดาต้าจงจินอี้อวิ๋น (Centrin Ecloud) ที่ได้ทำการสำรวจยอดขายหนังสือของร้านหนังสือแบบออฟไลน์จำนวน 5,500 แห่งทั่วประเทศจีน ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรกของ 2020 หลังจากได้รับผลกระทบของโรคระบาด ยอดขายของร้านหนังสือออฟไลน์ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 31.47% ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากโกดังสินค้า บริการลอจิสติกส์ และธุรกิจสนับสนุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องประสบภาวะชะงักงัน ประกอบกับบางพื้นที่ใช้นโยบายแยกพื้นที่ (isolation) เพื่อควบคุมโรคระบาด ทำให้ความต้องการในการอ่านสื่อที่เป็นดิจิทัลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น สำนักพิมพ์บางส่วนในประเทศจีนจึงพยายามผลักดันอีบุ๊ค/บริการเนื้อหาดิจิทัลอย่างเต็มความสามารถ มีการจัดทำแพ็กเกจสมาชิกระยะยาว (subscription) ต่าง ๆ ทั้งแบบฟรี/เสริมโปรโมชันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศเป่ยจิงไคเจวี้ยน (Openbook) ระบุว่า ในช่วงแรกที่เกิด
โรคระบาด แพลตฟอร์มเนื้อหาดิจิทัลหลายแห่งในประเทศจีนมีจำนวนสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับ
ช่วงก่อนหน้า มีแพลตฟอร์มจำนวนน้อยที่ยอดสมาชิกพุ่งสูงกว่าเดิมถึง 300%

นอกจากเนื้อหาในรูปแบบตัวอักษร ช่วงโรคระบาดประชาชนยังนิยมสื่อโสตวัสดุ (audio materials) เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ต้องจัดสรรทรัพยากรเพื่อเสริมศักยภาพในการทำสื่อเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสื่อโสตวัสดุ “สีหม่าล่ายา” (Ximalaya FM) ซึ่งจัดเผยแพร่หนังสือเสียง “มหาอาณาจักรฉิน” (Da Qin Di Guo) ภายในระยะเวลาเพียงสองเดือน รายได้เติบโตมากถึงเท่าตัว รวมมูลค่ากว่า 500,000 หยวน (ประมาณ 2.25 ล้านบาทไทย) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ช่วงโรคระบาด เทศกาลหนังสือของจีนหลายเทศกาลซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดงานมานาน ได้เริ่มประยุกต์ใช้รูปแบบการจัดงานที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธี “บูรณาการออนไลน์และออฟไลน์” (Online-Offline Integration) รวมถึง “บูรณาการสื่อกายภาพกับดิจิทัล” (Physical-Digital Integration) เช่น เทศกาลหนังสือศิลปะ abC (Art Book in China) ซึ่งนับเป็นงานที่มีความสำคัญในแวดวงผู้จัดพิมพ์อิสระ ในปี 2020 ก็ได้จัดงานภายใต้ธีม “ไร้ซึ่งระยะห่างทางสังคม” (Without Social Distance) โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างอาลีบาบา (Alibaba) นำเนื้อหาในเทศกาลหนังสือบูรณาการกับแอปพลิเคชันไลฟ์สไตล์อย่างถั่งผิง (Tangping) ทำให้ผู้จัดพิมพ์ที่ไม่สามารถเข้าชมงาน
ในสถานที่จริง สามารถอ่านเนื้อหาต่าง ๆ ในหนังสือผ่านทางหน้าจอมือถือและทำการสั่งซื้อผลงานที่สนใจได้ หรือเทศกาลหนังสือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Book Fair) ในปี 2020 ที่ได้ปรับเปลี่ยนการจัดงานให้นำสมัยยิ่งขึ้นในรูปแบบเทศกาลหนังสือที่ “ผสมผสานสื่อทุกรูปแบบ” (Omnimedia) โดยสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีฟังก์ชันสอดรับกับกิจกรรมออฟไลน์ต่างๆ ในเทศกาลหนังสือ และถ่ายทอดโดยใช้เทคโนโลยีไลฟ์สตรีม, บันทึกภาพวิดีโอเพื่อเผยแพร่ และการสื่อสารแบบดิจิทัลอื่น ๆ

นอกจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคและสอดรับกับรูปแบบของสิ่งพิมพ์ ผู้ประกอบการธุรกิจสิ่งพิมพ์บางรายในจีนยังใช้กิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบดิจิทัล เพื่อกระตุ้นให้
ผู้บริโภคสนใจการอ่านมากยิ่งขึ้นในช่วงโรคระบาด เช่น ช่องทางไลฟ์สตรีม วิดีโอสั้นบนติ๊กต็อก (Tiktok) เพื่อทดลองดูว่าจะสามารถโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการขายหนังสือได้อย่างไรบ้าง ในช่วงโรคระบาด ปริมาณและความถี่ในการไลฟ์สตรีมเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าสิ่งพิมพ์บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ของจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อาจเรียกได้ว่า โรคระบาดครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบและประเมินความสามารถในการ “กระจายช่องทางขายออนไลน์” และ “ศักยภาพการตีพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัล” ของธุรกิจสิ่งพิมพ์ในจีน

ปริมาณการจัดพิมพ์หนังสือของเวียดนามเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ีรัฐบาลส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างเต็มกำลัง

หลายปีที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตของธุรกิจสิ่งพิมพ์ในเวียดนามเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แซงหน้าอินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย แต่วัฒนธรรมการอ่านของประชากรเวียดนามไม่ได้เติบโตเฟื่องฟูตามปริมาณการผลิต ทำให้เกิดปัญหา “หนังสือมหาศาลจนท้นท่วมรอบตัวคน แต่ไม่เห็นมีใครอ่าน”

สำหรับอีบุ๊ค จากสถิติของกระทรวงวัฒนธรรม การกีฬา และการท่องเที่ยวเวียดนาม (Ministry of Culture, Sports and Tourism) ปัจจุบันเวียดนามมีสำนักพิมพ์ที่ทำธุรกิจตีพิมพ์อีบุ๊คเพียง 6 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของ
สำนักพิมพ์ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในธุรกิจอีบุ๊คของวงการสิ่งพิมพ์เวียดนามยังอยู่ในวงจำกัด ไม่เปิดรับ
การเปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ช่องทางการซื้อหนังสือของผู้อ่านเวียดนามในปี 2020 เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเปลี่ยนจากการซื้อที่หน้าร้านแบบออฟไลน์เป็นการซื้อบนร้านออนไลน์แทน จากผลการสำรวจของติกี (Tiki) ซึ่งเป็นร้านหนังสือออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ยอดขายในช่วงสองเดือนแรกของปี 2020 เติบโตขึ้นถึง 150% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนร้านหนังสือออนไลน์อื่น ๆ ก็เติบโตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 20-70% การซื้อหนังสือออนไลน์ยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้อ่านเวียดนามเปิดใจทดลองอีบุ๊คมากขึ้นกว่าเดิม จากสถิติของแพลตฟอร์มอีบุ๊ควะกา (Waka) ของเวียดนาม ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 รายได้ของแพลตฟอร์ม
ดังกล่าวเติบโต 20-30% จำนวนการเข้าชมสูงถึง 15,000 คน ซึ่งผู้อ่านส่วนใหญ่ในจำนวนนี้ล้วนมีประวัติการสั่งซื้ออีบุ๊คเพื่ออ่านบนแพลตฟอร์ม และปริมาณการซื้ออีบุ๊คเฉลี่ยต่อสมาชิกแต่ละรายก็เพิ่มขึ้นด้วย สำหรับประเด็นนี้ ผู้อำนวยการสำนักพิมพ์วรรณกรรม (Nhàxuất bản Văn học) คุณเหวียนอังวู๋ (Nguyễn Anh Vũ) ให้ข้อมูลว่า ในอดีต ผู้ประกอบการด้านสิ่งพิมพ์ในเวียดนามไม่ให้ความสนใจกับการบริหารธุรกิจและตลาดอีบุ๊คมากเท่าไรนัก แต่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโมเดลการขายหนังสือแบบรูปเล่มผ่านหน้าร้านที่เคยทำในอดีต ผู้ประกอบการจึงถูกบีบให้ปรับทิศทางธุรกิจใหม่
และเริ่มหันมาใช้ช่องทางขายออนไลน์

รัฐบาลเวียดนามพยายามใช้นโยบายรัฐในการผลักดันวัฒนธรรมการอ่านและนิสัยรักการอ่านของประชาชน รวมถึงสนับสนุนสำนักพิมพ์ภายใต้การบริหารของรัฐที่มีอยู่เดิมทั้งในด้านการเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลและการดำเนินกิจการ มีการจัดตั้งสมาคมหนังสือภาคประชาชนเพื่อวางแผนจัดกิจกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความใกล้ชิดและผูกพันกับหนังสือทั้งในแบบรูปเล่มและอีบุ๊ค เช่น กิจกรรมวันอ่านหนังสือ งานมอบรางวัลและเทศกาลหนังสือระดับชาติ โครงการแปลผลงานวรรณกรรมชั้นยอดจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาเวียดนาม เป็นต้น ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามยังมอบความช่วยเหลือแก่สมาคมหนังสือออนไลน์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนอีบุ๊ค มอบความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการสิ่งพิมพ์ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานและการผลิตหนังสือแบบรูปเล่มที่มีอยู่เดิม เสริมความแข็งแกร่งของตลาดการจัดจำหน่ายหนังสือรูปเล่มและอีบุ๊คผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีเป้าหมายจะใช้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงโรคระบาดเป็นตัวนำสู่การพลิกโฉมธุรกิจผลิตสิ่งพิมพ์ของเวียดนาม

40% ของผู้บริโภคชาวไต้หวันใช้เวลาอ่านไลน์นานขึ้น                                      เกือบ 30% ของผู้บริโภคซื้อมังงะและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

ในปี 2020  “แผนสำรวจภาพรวมของการบริโภคเชิงวัฒนธรรมในไต้หวันในช่วงโรคระบาด” ของสำนักงานเนื้อหา
เชิงสร้างสรรค์ของไต้หวัน (Taiwan Creative Content Agency, TAICCA) ใช้การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้า ระบุถึงผลกระทบของโรคระบาดในปี 2020 ซึ่งทำให้ประชากร 40.2% ใช้เวลาอ่านออนไลน์นานขึ้น (รวมถึง บทความบนอินเทอร์เน็ต นิยายในรูปแบบอีบุ๊ค และอื่น ๆ) ประชากร 29.7% ระบุว่า ใช้เวลาอ่านมังงะนานขึ้นกว่าเดิม และ 40.4% ของประชากรใช้เวลาฟังพอดแคสต์นานมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า โรคระบาดมีผลต่อพฤติกรรมการอ่านของชาวไต้หวัน ส่วนพฤติกรรมการบริโภคสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ ถึงแม้ประชาชนกว่า 60% ระบุว่าโรคระบาดไม่ได้ทำให้พฤติกรรมการบริโภคสินค้าเชิงวัฒนธรรมของตนเองเปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับสิ่งพิมพ์และมังงะ ยังคงมีประชากรเกือบ 30% ที่ระบุว่ามีการบริโภคเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มีราว 10% เท่านั้นที่ระบุว่าบริโภคน้อยลง เทรนด์การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อประชาชนมีโอกาสสัมผัสผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีต่าง ๆ มากขึ้น ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้สัมผัสเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

“รายงานแนวโน้มและสถานการณ์การจัดพิมพ์หนังสือไต้หวัน” ซึ่งตีพิมพ์โดยหอสมุดแห่งชาติไต้หวัน เมื่อเดือนมีนาคม
ปี 2021 ระบุว่า ตลอดปี 2020 ไต้หวันตีพิมพ์หนังสือใหม่ทั้งหมด 35,041 เรื่อง เทียบกับปี 2019 จำนวนลดลง 1,769 เรื่อง แต่หากดูสถิติเฉพาะอีบุ๊ค ปี 2020 มีอีบุ๊คออกใหม่ทั้งหมด 2,038 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 5.82% ของหนังสือใหม่ทั้งหมด เติบโตขึ้นจากปี 2019 ถึง 28.10% ยอดขายสูงกว่าเดิมถึง 32.61% โรคระบาดส่งผลให้ชาวไต้หวันสนใจหนังสือประเภทจิตวิทยาและให้กำลังใจมากขึ้นกว่าเดิม ในปี 2020 ตีพิมพ์ทั้งหมด 1,601 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2019 เป็นจำนวน 240 เรื่อง อัตราการเติบโตอยู่ที่ 17.63% และครองอันดับหนังสือขายดีบนร้านหนังสือออนไลน์ทั้งหมด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. แผนสำรวจธุรกิจผลิตเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ของไต้หวันในปี 2020— ธุรกิจผลิตหนังสือ นิตยสาร มังงะ ภาพวาดที่มีลิขสิทธิ์ต้นฉบับ
  2. แผนสำรวจภาพรวมของการบริโภคเชิงวัฒนธรรมในไต้หวันในช่วงโรคระบาด

บทความต้นฉบับ: https://taicca.tw/article/dee9c74e?fbclid=IwAR2ZdnSnPi_m1mDkh3aKPxJ2QNUaMEfpdMPP8QMsMy-FfGaXt11udAGWAhY

all piercings cuff earrings fine jewelry moon ring threadless stud threader earrings braclet flower ring initial necklace chain ring free people amor amor rainbow moonstone safety pin earrings gold initial necklace multi colored sapphire hoop earrings chain earrings stone necklace stone ring stone and strand jewelry rose gold lariat earrings opal stone price in uae gold heart solitaire ring ear piercing nyc